วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันที่ 4 เช้าอันสดใสที่เกาะซุมบาวา เปลี่ยนไปขึ้นรถเมล์เล็กสุดปลายเกาะซุมบาวาที่ Sape และข้ามเฟอรี่อีก 6 ชั่วโมงไปเมืองลาบวนบาโจ (Labuan Bajo) เกาะฟลอเรส (Flores)

Friday 22nd May 2015 ย่างเข้าวันที่ 4 ของการเดินทางครับ หลังจากที่ต้องนั่งรถบัสโชว์เฟอร์สูบบุหรี่ีในรถแอร์ทนเหม็นควันบุหรี่ และทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวมาทั้งคืนแบบไม่มีใครสามารถจะนอนหลับได้ ในที่สุด รถบัสบริษัท Langung Indah ก็พาเรามาถึงเมือง Bima เวลา ตี 3 กับ 48 นาที เกือบตี 4 ครับ รวมเวลาจากเกาะลอมบ็อกที่เราเดินทางมาทั้งหมดก็ 13 ชั่วโมงแล้วครับ ซึ่งมันยังไม่หมดแค่นี้ครับ  มันยังต้องเดินทางอีกยาวไกลมากๆ


ให้ดูแผนที่จังหวัดนูซาเต็งการาตะวันตกถึงนูซาเต็งการาตะวันออกครับ 


จากแผนที่ข้างบนนี้จะเห็นได้ว่าเมืองบิม่า (Bima) ที่เราเพิ่งเดินทางมาถึงนี้อยู่ค่อนไปทางด้านตะวันออกของเกาะซุมบาวาแล้วครับ เราเดินทางมาไกลมากกกกก.... 


มาถึงท่ารถเมือง Bima ก็ขนกระเป๋าสัมภาระลง ส่วนพวกเราก็ต้องต่อรถบัสเล็กของบริษัท Lansung Indah เช่นเดิม เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองซาเป้ (Sape) ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกสุดของเกาะซุมบาวาครับ (ดูแผนที่ในรูปด้านบนอีกทีนะครับ เมืองซาเป้จะอยู่ด้านตะวันออกสุดของเกาะซุมบาวาครับ)


รถบัสเล็กยังไม่ออกครับ ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางต่อไปซาเป้อย่างพวกเราและอีกหลายๆคนต้องนั่งรอกันแบบนี้ ครับ ที่สถานีขนส่งมีห้องน้ำด้วย ความสะอาดให้ 6 เต็ม 10 ครับ ให้ความรู้สึกและบรรยากาศเหมือนทริปที่พวกเราไปเที่ยวพม่าเมื่อปีที่แล้วเลยครับ (อ่านรีวิวทริปพม่าได้ที่ลิงค์นี้ครับ)


ร้านของชำที่ขนส่งเมืองบิม่าก็มีขนมนมเนยขายเยอะแยะมากมายครับ ใครหิวก็ซื้อกินได้ตลอด ชากาแฟก็มีขายครับ รอจนเวลาตี 5 ครับ รถบัสเล็กก็ออกจากสถานีขนส่งบิม่า มุ่งหน้าไปยังเมืองซาเป้ครับ ผู้โดยสารเต็มคัน เบาะก็เล็ก แถมมีบรรดาสิงห์อมควันเพียบเลยบนรถ แต่ก็พอรับได้เพราะไม่ใช่ป็นรถแอร์แล้ว อันนี้รถแอร์ธรรมชาติ ไม่เหม็นควันบุหรี่เท่าไหร่ 


ฟ้าที่มืดมิดเมื่อครู่ก็เริ่มสว่างแล้วครับ ภาพแรกแห่งซุมบาวาเช้าวันนี้คือบ้านคนบนเกาะนี้ ปลูกห่างๆกันครับ เนื้อที่บนเกาะนี้ยังว่างเยอะมากครับ ประชากรเบาบางมากจริงๆ เพราะเมื่อคืนที่นั่งรถมาทั้งคืน ผ่านบ้านคนน้อยมากครับ หรือว่ามันอาจจะมืดมากผมมองไม่เห็นบ้านคนก็เป็นได้ อันนี้ไม่แน่ใจ คงต้องหาโอกาสมานั่งรถบัสนี้ตอนกลางวันบ้าง ไม่รู้จะมีหรือเปล่า 


บ้านแบบสองชั้นก็มีครับ 


มีแต่ป่า แต่ เขา แต่ดูเป็นธรรมชาติดีครับ 


ภายในรถบัสเล็กของบริษัทลังซุงอินด๊ะห์ (Langsung Indah) ครับ 


แถบนี้จะเป็นทุ่งนาซะเยอะครับ 


พื้นที่เกษตรกรรม


ไม่รู้ปลูกอะไร มองไม่ออกเลย 


อันนี้เหมือนนาเกลือนะครับ แต่ไม่แน่ใจ 


ไม่รู้อะไร ดูรูปอย่างเดียวละกันครับ บรรยากาศยามเช้าเกาะซุมบาวาก่อนถึงเมืองซาเป้


บ้านเรือนผู้คน 


ประมาณชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึงซาเป้แล้วครับ ขนสัมภาระลงจากรถ


ลงจากรถเสร็จก็มึนครับว่าต้องเดินไปทางไหนต่อ ถามชาวบ้านแถวนั้น เขาบอกให้ไปซื้อตั๋วที่ตึกอีกตึกหนึ่ง เดินไกลใช้ได้เลยครับ ลานจอดรถที่นี่มันโล่งกว้างมาก แหม่มสาวคนนี้มารถบัสคันเดียวกับเราตลอด กำลังมึนพอๆกับเรา 


บรรดารถบรรทุกก็มารอขึ้นเฟอรี่ข้ามไปเกาะฟลอเรสกันครับ


ต้องเดินไปซื้อตั๋วเฟอรี่ที่อาคารสีเทาๆฟ้าๆด้านขวามือในรูปนี้ครับ แต่เขายังไม่เปิดขายตั๋ว 


ประมาณ 7 โมงเช้า เขาก็เปิดออฟฟิซขายตั๋วครับ 


ตั๋วเฟอรี่ไปลาบวนบาโจหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ คนละ 60,000 รูเปียห์ (คนละ 163 บาท) ถูกมากกกกก....


ซื้อตั๋วเสร็จก็มารอที่หน้าร้านอาหาร มีห้องน้ำ มีแพะด้วย อิๆ


เห็นกับข้าวก็น่ากินดีครับ อดใจไม่ไหว กินซะตั้งแต่เช้าเลยครับ แถมซื้อใส่ห่อไปอีก จริงๆก็ควรจะซื้อตุนไว้ครับ เพราะบนเรือเฟอรี่ไม่มีข้าวขายบังหมาดบอกมา (บังหมาดคือผู้ชายอินโดในรูปที่ใส่เสื้อกล้ามสีดำ เดินทางมาด้วยกันกับเราตลอดตั้งแต่ลอมบ็อกครับ เพิ่งมาตีสนิทกันตอนรอรถบัสเล็กที่บิม่า แกก็แนะนำให้เราซื้อตุนไว้เลยใส่กล่องด้วย 


ให้ดูกับข้าวครับ อร่อยที่สุดคือปลาหมึกครับ ผมใส่กุ้งไปด้วยตอนซื้อใส่กล่องปรากฎว่ากุ้งบูดครับ ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วกับข้าวของเขา แต่อย่างอื่นอร่อยหมดทุกอย่างครับ ยกเว้นกุ้ง มันเหม็นบูดกินไม่ได้


ประมาณ 8 โมงเช้า ได้ยินเสียงประกาศเป็นภาษาอินโดนีเซียให้คนขึ้นเรือได้ เราฟังไม่รู้เรื่องแต่บังหมาดบอก โชคดีที่มีบังหมาดนะเนี่ยทริปนี้ เดินขึ้นท่าเรือ แดดแรง ถ่ายย้อนแสงมืดเชียว 


เจ้าหน้าที่เปิดประตูท่าเรือครับ 


บนหัวท่าเรือแม่ค้าขายไข่ปิ้ง ข้าวเหนียวปิ้งด้วยครับ กะละแมก็มือ (กะละแม คนมาเล และอินโด เรียกว่า " Dodol" ครับ อ่านว่าโดโดล ผมชอบลองซื้อกินอยู่แล้วครับ ของบ้านๆแบบนี้ ซื้อไปกินบนเรืออีกเพียบ 


เข้ามาในท่าเรือแล้ว ถ่ายรูปเรือเฟอรี่ลำนี้ครับ ที่จะพาเราเดินทางอีก 6 ชั่วโมงไปยังลาบวนบาโจครับ 


รถเล็กรถใหญ่ รถมอไซต์ก็ขึ้นเรือเฟอรี่ครับ


ขึ้นมาบนเรือเฟอรี่มันก็มีที่นั่งปกตอครับ แต่บังหมาดแนะนำให้เราเดินมาด้านหลัง จะเป็นที่นอนเป็นล็อคๆแบบนี้ครับ จ่ายเพิ่มคนละ 25,000 รูเปียห์ (คนละ 68 บาท) เวลาเรือเฟอรี่ออกไปสักพักจะมีเจ้าหน้าที่มาเดินเก็บตังค์ค่าที่นอนครับ  กำลังนอนเพลินๆ ก็ต้องเซ็งกับพี่อินโดสิงห์อมควันอีกแล้วครับ ไม่เข้าใจเลยวัฒนธรรมการสูบบุหรี่ของพี่อินโดจริงๆเล้ย 


ก่อนเรือออกก็เดินเล่นภายในเรือเฟอรี่ ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย อันนี้รูปเรือขาแมงมุม (อันนี้ผมตั้งชื่อเอาเองครับ ภาษาไทยเรียกว่าเรืออะไรก็ไม่รู้ครับ) ภาษาอังกฤษเรียก Outrigger ครับ 


บ้านเรือผู้คนบนเกาะซุมบาวาครับ 


รูปนี้คือท่าเรือที่เราเดินขึ้นมาเมื่อกี้ครับ 


10:15 น. เรือออกจากท่าครับ มุ่งหน้าไปยังลาบวนบาโจ ผ่านเกาะแก่งมากมาย แต่กล้องผมซูมได้สุดๆแค่เนี้ย คลื่นลมสงบมากๆครับ ไม่มีคลื่นเลย สบาย เงียบ มาก 


แวะกลับมาดูสมาชิกโรฮินจาอพยพของพวกเราน่าสงสารครับ นั่งจนขึ้นอืด ทำหน้าตาชีวิตรันทดมากๆ  เพราะไม่อยากนอน เหม็นควันบุหรี่ โดยเฉพาะคนข้างหลัง น่าจะเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ 555 


มีแต่ฟ้า กับน้ำ ผ่านเกาะแก่งเยอะมาก


โซนนี้น่าจะเป็นเกาะโคโมโดครับ  แต่ห่างจากเรือมาก ซูมได้สุดๆแค่นี้ครับ 


อยากจะบอกว่าถ้าใครไม่อยากนอนที่นอนแบบเรา ให้ขึ้นมานั่งชมวิวบนดาดฟ้าครับ หน้าห้องกัปตันเลย บรรยากาศดีมากครับ อากาศบริสุทธิ์สุดๆ ไม่เหม็นควันบุหรี่ด้วย 


ใกล้ถึงลาบวนบาโจเข้าไปทุกทีแล้วครับ กว่าจะมาถึงรูปนี้ นั่งมาแล้วหลายชั่วโมงนะครับ 


เกาะนี้อยู่ก่อนถึงลาบวนบาโจแล้วครับ


เกาะนี้ผมจำชื่อเกาะไม่ได้แล้วครับ บังหมาดบอกว่าปะการังสวย เช่าเรือมาดำสน็อกได้ 


ใกล้ถึงฝั่งแล้วครับ ลาบวนบาโจ เกาะฟลอเรส


เรือเยอะมาก 


ท่าเรือลาบวนบาโจครับ 


เรือเทียบท่าที่ลาบวนบาโจ 16:45 น. รวมเวลาบนเฟอรี่คือ 6 ชั่วโมงครึ่งครับ และใช้เวลา ทั้งหมดจากลอมบ็อกคือ 26 ชั่วโมงครับ สุดยอดเลยทริปนี้ แต่ไม่ได้เหนื่อยนะครับ สนุกดีผมชอบ ที่ไม่ชอบอย่างเดียวคือเรื่องเหม็นควันบุหรี่ครับ อย่างอื่นดีหมดครับ


ถึงท่าเรือแล้ว บังหมาดเรียกแท็กซี่ให้ เพราะแกบอกว่าโรงแรม Green Hill  ที่เราจองไว้อยู่บนเขา ขึ้นไปก็เหนื่อย ต้องนั่งแท็กซี่ 


ก่อนแยกทางกัน ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกับบังหมดและเพื่อนแก พวกเราขึ้นแท็กซี่ พาวนขึ้นเขา แล้วไปจอดหน้าโรงแรมอะไรก็ไม่รู้ ปรากฏว่าไม่ใช่โรงแรมกรีนฮิลล์ที่เราจองไว้ครับ คนขับแท็กซี่โทรไปถามทางในเบอร์โทรของอโกด้าที่จองไว้ก็ต้องวนกลับไปที่เดิมลงข้างล่างไปแถวท่าเรืออีกครั้ง ปรากฏว่าโรงแรมเราอยู่ห่างจากท่าเรือแค่ 200 เมตรเองครับ ไม่ได้อยู่บนเขาสูงด้วย บังหมาดแกมึนแน่ๆ  ทำให้พวกเราต้องจ่ายค่าแท็กซี่ไปฟรีๆ 50,000 รูเปียห์ (136 บาท) 


ถึงแล้วครับโรงแรมกรีนฮิลล์ โรงแรมที่สะอาดที่สุดในย่านนี้ครับ ด้านหน้าโรงแรมเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อ MadeinItaly ครับ เข้าไปเช็คอินได้เลย 


กว่าจะเสร็จเรื่องราวการเดินทางวันนี้เล่นซะเย็นเลยครับ บรรยากาศท่าเรือลาบวนบาโจ ถ่ายจากระเบียงหน้าห้องที่กรีนฮิลล์บูติครีสอร์ท ครับ 


ตอนค่ำก็เดินหาของกิน จากโีรงแรม เดินเลี้ยวขวาออกไปทางท่าเรือ เลยท่าเรือไปก็จะเป็นตลาดขายของกินครับ พวกอาหารทะเลเพียบเลย มีปลาตัวสีแดงๆครับ มันสวยจนไม่น่าจะกินมันได้ พวกเราไม่กล้ากินเลยแค่เดินดูเฉยๆครับ สรุปว่าต้องเดินกลับไปกินข้าวราดแกงร้านที่ไม่ไกลจากหน้าโรงแรมเราเท่าไหร่


ร้านอาหารริมถนน เมืองลาบวนบาโจ เกาะฟลอเรสครับ 


ก๋วยเตี๋ยวบะโซก็มีนะครับ 


กินข้าวเสร็จเดินหาร้านทัวร์เกาะโคโมโดครับ บังหมาดแนะนำเพื่อนแกเป็นสปีดโบ๊ท ปรากฏว่าเขาคิดราคามา 8ล้านรูเปียห์เหมาลำไปทั้งโคโมโด หาดสีชมพูและเกาะรินจาครับ  ( 21,857 บาท เฉลี่ยคนละ 3600 กว่าบาท คิดว่าแพงไป ไม่เอาดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะหมดตังค์ซะก่อน กลับมาทางโรงแรมข้างร้านข้าวที่เราไปกิน ไปเจอร้านนี้ชื่อ Bulé ครับ เจ้าของคุยถูกคอดี ราคาเหมาลำเป็นเรือวางท้องครับ ไปเกาะโคโมโด และหาดสีชมพู (ไม่ไปเกาะรินจา) คิด 3ล้านรูเปียห์ (8,196 บาท เฉลี่ยคนละ 1,300 กว่าบาท) ก็พอสู้ไหว ที่จริงรู้ว่าน่าจะถูกกว่านี้ถ้าเราไปติดต่อแถวท่าเรือเอง แต่ก็ขี้เกียจแล้ว เพราะมันค่ำแล้วด้วย ไม่มีเวลา ราคานี้ไม่รวมอาหารเที่ยงค่าเครื่องดื่ม และค่าเข้าชมอุทยานโคโมโดนะครับ ต้องเตรียมอาหารเที่ยงไปเอง นัดเจอกันที่ออฟฟิซ 6 โมงเช้าพรุ่งนี้ครับ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ 



1 ความคิดเห็น :

  1. ถามหน่อยครับ ถ้าไปหาทัวร์ One day trip ที่ลาบวนบาโจ ราคาจะอยู่ที่ประมาณไหนครับ
    พอดีไปคนเดียว ไม่อยากเหมาเรือเที่ยว แพง T T

    ตอบลบ