วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันที่ 2 เช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวเกาะลอมบ็อกหาดเซอลองบลานัก หาดมาวุน หาดกูตา แวะซื้อตัวรถบัส Langsung Indah เพื่อไปเกาะฟลอเรส

Wednesday 20th May 2015 วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2558 เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางครับ เมื่อคืนมาถึงซะดึกเลย แต่จัดการจองทัวร์เท่ยวเกาะลอมบ็อกกับเจ้าของโรงแรมไว้แล้วครับ ราคา 7แสนรูเปียห์หรือประมาณ 1912 บาท หรือเฉลี่ยคนละ 318 บาทครับ เป็นทัวร์เต็มวันไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มครับ

ให้ดูบรรยากาศตอนเช้าของ Ressa Home Stay ที่เราพักนะครับ เพราะเมื่อคืนมาถึงโรงแรมค่ำแล้วมืดมากไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย ลานเอนกประสงค์ที่บรรดาพนักงานชอบมานั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์กันตอนกลางคืน 


เจ้าของโรงแรมเป็นสาวญี่ปุ่น แต่งงานกับหนุ่มไกด์ลอมบ็อกครับ เธอชื่อคาโอริ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ครับ แอบถ่ายตูด ตอนเธอเตรียมอาหารเช้าให้พวกเราครับ ตอนแรกที่เธอเข้ามาคุยผมเข้าใจว่าเธอคือลูกค้าญี่ปุ่นที่มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ ถามไปถามมากลายเป็นเจ้าของซะงั้น เธอมาถามว่าอาหารเช้า(หนมปังปิ้ง) จะให้ใส่ไข่ดาวข้างในหรือใส่กล้วย และเครื่องดื่มจะเอาชา หรือกาแฟ มีให้เลือกแค่นี้ครับ ไม่ได้อิ่มอะไรเล้ย แต่ก็สมราคาล่ะครับ คืนละ 300 เองค่าห้อง ยังอุตส่าห์รวมอาหารเช้าให้


มีมอไซต์ให้เช่าด้วยครับ แต่พวกเรามากันหลายคน เลยแชร์ทัวร์กันเที่ยวกับรถยนต์ให้เขาขับให้ จะง่ายกว่า แต่ถ้ามาคนสองคน เช่ามอไซต์ขี่ก็น่าจะสนุกครับ ไม่ได้ถามราคามาครับว่าให้เช่าวันละเท่าไหร่ 


ป้ายโรงแรม เล็กมว้ากกก...ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ 5555+++


สวนขนาดกะทัดรัดหน้าห้องพักพวกเราครับ 


เจ๊คาโอริ เอาอาหารมาเสิร์ฟแล้วสำหรับทุกคน หน้าตาหนมปังปิ้งห่อไข่หรือห่อกล้วยตามในรูปครับ มีชา/กาแฟ + ผลไม้ให้สำหรับทุกคนครับ


ถึงเวลาให้อาหารครับ ก่อน 8 โมงเช้านิดๆ โชว์เฟอร์ที่เป็นพนักงานโรงแรมมาคอยพวกเราอยู่แล้วครับ 


ให้ดูแผนที่เกาะลอมบ็อกชัดๆนะครับ ด้านซ้ายมือในรูป โรงแรมเราอยู่ระหว่าง Senggigi กับ Ampenan ครับ ทริปนี้คนขับจะพาเราเที่ยวลงมาด้านล่างของเกาะ จะพาเราเที่ยวหาดเซอลองบลานัก (Pantai Selong Blanak) หาดมาวุน (Pantai Mawun) หาดกูตาล็อมบ็อกครับ (คนละที่กับกูตาที่บาหลีนะครับ แต่ชื่อกูตาเหมือนกัน) จากหาดกูตา ก็จะขึ้นด้านบนไปหาชุมชนของเผ่า Sasak ที่ Sade (อ่านว่า ซาเด้อ) ที่มีการทอผ้าขายเป็นหมู่บ้าน (อยู่ตรงกลางระหว่ากูตากับ Sengkol ในแผนที่ครับ) แล้วก็ย้อนกลับมาทางสนามบินที่อยู่แถว Praya เพื่อหาข้าวกินกันครับ แล้วก็ไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามไปเกาะซุมบาวา ที่ Mataram เพื่อจะเดินทางพรุ่งนี้ แล้วก็กลับเข้าเซ็งกิกิเหมือนเดิม ไปเที่ยววัดฮินดูชื่อ บาตูโบล็อง Pura Batu Bolong (วัดหินรู) แล้วก็กลับโรงแรม 


นั่งรถกันมาเกือบชั่วโมงก็ถึงหาดเซอลองบลานัคอันเงียบสงบ ผมชอบบรรยากศที่นี่มากครับ ไม่มีรีสอร์ท มีแต่ร้านค้าปลูกเป็นเพิงตามแนวหาด ด้านในสุดเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆครับ แต่ที่นี่ไม่มีห้องน้ำครับขอบอก มีส้วมหลุมที่เต็มไปด้วยกับระเบิดอยู่แถวทางเข้า พวกเราต้องจ่ายค่าเข้าด้วยครับ แต่ว่าเก็บเฉพาะรถแบบเหมาคันนะครับ หาดนี้โดนเก็บไป 10,000 รูเปียห์ครับ 27 บาท 


มีร่มชายหาดให้เช่าด้วยครับ ถ้าไปนั่งเขาคิดตังค์ แต่พวกเราซื้อมะพร้าวมากินคนละลูก ลูกละ 10,000 รูเปียห์เหมือนกัน (27 บาท) ก็เลยนั่งเก้าอี้ชายหาดได้ไม่เสียตังค์เพิ่ม 


หาดเซอล็องบลานัคแห่งนี้ฝรั่งชอบมาหัดเล่นกระดานโต้คลื่นครับ แต่ขอบอกว่าคนมาเที่ยวน้อยมาก ซึ่งถือได้ว่ายังบริสุทธิ์มากๆครับ ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่โดนรีสอร์ท โรงแรมต่างๆ มาจับจองพื้นที่เหมือนหาดบางประเทศ อิๆ 


คุณลุงขายข้าวโพดย่างครับ


ร้านขายของชำที่เราไปนั่งครับ มีทุกอย่างให้เลือกสรร ได้ข่าวว่ากาแฟอร่อยครับลุงเสริม(พ่อผม) การันตี


นี่แหละครับโฉมหน้าลุงเสริม พ่อผมเอง ทำความรู้จักไว้ครับ เพราะจะเจอลุงเสริมอีหลายรูปในบล็อกนี้และอีกหลายๆบล็อกครับ 5555


ยืมกระดานโต้คลื่นเขามาถ่ายรูปครับ 


ท่าอะไรครับเนี่ย?   บูตะเหิรเวหา?  /   ดูก็องเริงร่า? /  ผีเสื้อ(สมุทร)สะดุดเวหาบ้าพลัง ? 


ลุงเจ้าของร้านปาดหัวมะพร้าวให้ หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ แต่ๆๆ มะพร้าวลูกใหญ่มากกกกก.... กินเกือบไม่หมด พุงกางเลย ว่าจะกินเนื้อมะพร้าวด้วย แต่มันแข็งไปหน่อย เลยกินแต่น้ำ อร่อยดีครับ มะพร้าวลอมบ็อก ลูกใหญ่กว่ามะพร้าวบ้านเราเยอะเลยครับ 


เจ๊เมียลุงเจ้าของร้านชำ กำลังขูดมะพร้าว สังเกตดูอุปกรณ์การขูดมะพร้าวนะครับ ถูไปถูมาบนตะแกรงเหล็ก อุปกรณ์บ้านเราชนะขาดลอยในเรื่องความเร็วถ้าใช้กระต่ายขูดมะพร้าว (ภาษาใต้เรียกเหล็กขูด) เพราะเจ๊แกต้องแงะเนื้อมะพร้าวออกมาอีกทีจากกะลาแล้วเอามาขูดกับตะแกรงเหล็ก บ้านเราขูดเลย


ตื่มด่ำกับหาดเซอล็องบลานัคเรียบร้อยแล้วก็เที่ยวหาดถัดไปครับคือหาดมาวุน หาดนี้เล็กกว่าหาดเซอล็องบลานัคครับ แต่เป็นเวิ้งเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนอ่าวมาหยาที่เกาะพีพีเล จ.กระบี่บ้านเรา แต่ที่นี่ไม่มีคนเลยครับ เงียบ สงบมาก..... ที่นี่ก็จ่ายค่าเข้าหาด 10,000 รูเปียห์ต่อ 1 คันรถเหมือนที่แรกครับ


เชิญเซลฟี่ได้ตามใจชอบ


ทำท่าหน้ากากแอ๊คชั่นถล่มก็อซซิลล่า (มั่วแระ) 


แบบไม่มีคนในรูป (ไล่มันออกไปหมดแล้วทั้งหน้ากากแอ๊คชั่น ทั้งก็อซซิลล่า)


ไม่รู้จักครับ เขามาเที่ยวเหือนเรา แต่ทั้งหาดมีคนอยู่แค่นี้แหละครับ 


เฮ้อ ... กระโดดเกือบไม่ขึ้นแน่ะ


ผมชอบรูปนี้ เลยเอามาลงไว้เป็นที่ระทึก เขียนมากี่บล็อกๆก็ไม่ค่อยได้ลงรูปตัวเองเลยสักครั้ง


งั้นผมขอลงอีกรูปละกันครับ อิๆ รูปนี้ผมหล่อดีนะว่ามั้ย อิๆ  (ใครค้าน ห้ามอ่านบทความถัดไป โกรธ :-P)


โฉมหน้าโชเฟอร์ที่พาเราเที่ยว ชื่อน้องจิลเลี่ยน ครับ (เสื้อดำนะ เสื้อฟ้าน่ะลุงเสริม) น้องจิลเลี่ยนคุยดี มีมุขฮาตลอดทาง ครับ เสร็จทริปให้ทิปไป 100,000 รูเปียห์เลย 


หาดต่อไปคือ Kuta Lombok ครับ จากเซอล็องบลานัค มาวุน กูตา ห่างกันไม่เยอะครับ นั่งรถประมาณ 15-20 นาทีในแต่ละหาดครับ ค่าเข้าหาดอีก 10,000 รูเปียห์ครับ (27 บาท)


ความสะอาดของที่นี่ได้คะแนนน้อยที่สุดครับ มีสาหร่ายทะเลมาเกยตื้นเต็มเลย หรือมันจะสวยเป็นช่วงๆก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ 


ที่นี่คนจะเดินมาขายของเยอะมากครับ พวกผ้าห่ม เสื้อสกรีนลายลอมบ็อกครับ จัดการซื้อเลยครับ เพราะเวลาช็อปปิ้งเราไม่พอเลย เสื้อสกรีนลาย 4 ตัว 100,000 รูเปียห์ครับ เฉลี่ยตัวละ 68 บาท น่าจะแพงครับ แต่ก็ไม่รู้จะต่อยังไง เขาบอกมาราคานี้แล้ว 4 ตัวแสน 


ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือผ้าห่มทอที่บรรดาป้าๆมาเดินขายแบบนี้ครับ ผืนละ 50,000 รูเปียห์ (136 บาท) ผมว่าถูกมากกก คุณภาพดีด้วย ผมไดซื้อมาแค่ 2 ผืน เกาะน้องจิลเลี่ยนบอกว่าจะพาไปที่ทอผ้าเลย แต่ผมต้องผิดหวังมากเพราะผ้าแบบที่เดินขายแบบนี้ไม่มีครับ ที่ Sade เขาจะเป็นผ้าถุงซะเป็นส่วนใหญ่ และแพงกว่าคนเดินขายแบบนี้หลายเท่าเลย   แต่ผมชอบผ้าห่มแบบนี้มากกว่า น่าตบกะโหลกน้องจิลเลี่ยนสักป๊าบ ข้อหาทำให้ผมเข้าใจผิด พลาดโอกาสซื้อผ้าฝากที่บ้านอีกหลายคน 


ซุ้มขายน้ำหาดกูตา มีไม่ค่อยเยอะครับ 


หาดกูตา ในวันที่มีหญ้า / สาหร่ายทะเล มาเกยตื้น 


เสร็จแล้วก็เที่ยวกันต่อครับ มาถึงหมู่บ้านซาเด้อ Sasak Village 


ที่นี่ให้ความรู้สึกประมาณ ศูนย์จำหน่ายสินค้าโอท็อป


มีไกด์มาอธิบายเรียบร้อย


ผ้าทอมือที่แต่ละครอบครัวทอขายเป็นซุ้มๆ 


ไกด์พาชมรอบๆหมู่บ้าน ชมข้างในบ้านซาซัก 


เขานับถือศาสนาอิสลามครับ คนซาซัก


ต้องยอมรับว่าหม้อเธอใหญ่มากกกกกก (ปกติที่บ้านเธอก็หุงข้าวกินเองหม้อก็ใหญ่ประมาณนี้ กินคนเดียวด้วยครับ ไม่ได้โม้ จริงๆ ) 


ของที่ระลึกก็วางขายทั่วไป


คุณป้าเชิญชวนให้ดูการทอผ้าฝ้ายครับ เลอค่าจริงๆ


ราคาก็สมควรจะแพงอยู่หรอกครับ คิดเป็นเงินไทยผ้านุ่งผืนละ 1,000 กว่าบาท แต่ถ้าใครชอบก็ซื้อเก็บไว้ได้ครับ ผ้าทอ ฝีมือละเอียด สวยด้วยครับ (แต่ผมอยากกลับไปซื้อผ้าห่มที่กูตาอ่ะ พูดแล้วอยากตบกะโหลกน้องจินเลี่ยนอีกที ฮึ่ม กรอดดดดด)


ไกด์พาเดินเรื่อยๆครับ 


บ้านทุกหลังในหมู่บ้านสร้างติดๆๆๆๆกันแบบนี้เลยครับ 


นั่งคิดคำนวณราคาเป็นเงินไทย ต่อรองเก่งก็ได้ราคาถูกลงมาหน่อย 


นี่แหละครับ ผ้าห่มลายๆที่ต้องการ แต่มาถึงบางอ้อทีหลังว่าที่ผมซื้อน่ะมันผ้าโรงงานไม่ได้ทอมือ มันเลยถูกกว่าที่นี่เยอะครับ เลอค่าครับ เลอค่า 


มาพูดถึงหินสี ที่ไปเจอแหวนในร้านลุงเมื่อคืนที่อยู่ติดกับร้านหมี่บะโซใกล้โรงแรม หินที่เขาหามาได้ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกแร่อะไรแล้วแต่มีหลายสีมากครับ เอามาแช่นั้นแบบนี้ก่อนนำไปสลักเป็นหัวแหวนครับ น้องจินเลี่ยนบอกว่าเป็นที่นิยมกันมากในลอมบ็อกและส่งขายไปทั่วอินโดนีเซียเลยครับประมาณนั้น 


ดูกันชัดๆอีกรูป


ในหมู่บ้านมีมัสยิดด้วยครับ  ทัวร์เสร็จแล้วให้ทิปไกด์ไป 30,000 รูเปียห์


ไปต่อไปอีกคงไม่ไหว เพราะหนมปังเจ๊คาโอริเจ้าของโรงแรมเริ่มหมดพลังงาน บอกน้องจิลเลี่ยนว่า Ramah Makan Tolong  ไปหาร้านข้าวกินเถอะ พลีสสสส ก็ได้มาเจอร้านนี้อยู่ตรงข้ามทางเข้าสนามบินลอมบ็อกที่เราผ่านมาแล้วเมื่อคืนแต่จำอะไรแถวนี้ไม่ได้เลย (ก็มันมืดนี่เมื่อคืน) 


ทุกคนกินเหมือนกันหมดครับ เพราะร้านนี้มีแค่เมนูเดียวเท่านั้น 


มันคือนาซีบาลัปครับ  (Nasi Balap) เป็นข้าวไก่ทอด มีเนื้อไก่ฝอยๆ มีผักมาเสิร์ฟในกระบุงแบบนี้ เปิบมือหรือจะกินกับช้อนก็ได้ แต่คนอินโดนเปิบกับมือหมดเลยครับ มีแต่เราใช้ช้อน ที่จริงจะเปิบก็ได้แต่ขี้เกียจล้างมือ (ในร้านมีอ่างล้างมือให้ด้วยครับ) (ที่จริงก็เคยกินแล้วตอนไปทริปเกาะชวาเมื่อหลายปีก่อน แต่มีผักแบบนี้อร่อยกว่าครับ มีเนื้อไก่ฝอยด้วย) มื้อนี้ทั้งข้าวทั้งน้ำปั่น/ น้ำผลไม้ รวม 7 คน(เลี้ยงน้องจิลเลี่ยนด้วย) หมดไป สองแสนรูเปียห์ครับ (546 บาท เฉลี่ยคนละ 78 บาท ถูกมาก)


ขับมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็เข้าเขต Mataram เมืองหลักของลอมบ็อกครับ ไปตามหาบริษัทรถบัสชื่อ Langsung Indah เพื่อจะเดินทางข้ามเกาะไปซุมบาวาแลฟลอเรสครับ เจอแล้ว บริษัทอยู่นี่เอง ไก้เดินเพิ่นพ่านเลยอ่ะ เป็นอะไรที่แปลกตามาก อิๆ 


ตั๋วครับ หน้าตาแบบนี้ รวมราคารถบัสและเฟอรี่ข้ามเกาะลอมบ็อกไปซุมบาวาไปถึง บีม่า (Bima) และรถเล็กของบริษัทต่อจาก Bima ไปถึงซาเป้  (Sape) ที่เป็นเมืองสุดติ่งด้านตะวันออกสุดของเกาะซุมบาวา  ราคาตั๋วใบเดียวรวม 6 คนครับ คนละ 300,000 รูเปียห์ (คนละ 819 บาท) เวลารถออก 14:30 น. ระบุวันเดินทาง 21 พค. 2015 คือพรุ่งนี้ครับ แต่ต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งชื่อ Mandalika ซึ่งอยู่ใน Mataram เหมือนกันครับ ไม่ใช่ขึ้นที่บริษัทตรงนี้ครับ 


สุ่มไก่ที่ลอมบ็อก เท่มาก


ผ่านมัสยิดใหญ่ในมาตารามครับ 


น้องจิลเลี่ยนขับพาเราเลยทางเข้าโรงแรม แล้วขับเรื่อยไปทาง Sengigi ครับ ดูอ่าวเซ็งกิกิ


หาดที่เซ็งกิกิโซนนี้จะเป็นดินสีดำครับ ดินภูเขาไฟ แต่ด้านใต้ของเกาะที่เราไปเที่ยวมาจะเป็นหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ครับ 


หาดูดีๆ มีคนยืนตกปลาอยู่บนโขดหินด้านล่างด้วย 


นางแบบเราหารู้ไม่ว่ากำลังจะโดน.....คริๆๆๆ


ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ครับ 


จิลเลี่ยนพามาอีกเวิ้งหนึ่งครับ หลังจากเวิ้งอ่าวเมือกี้ แต่จะที่จ่ายค่าจอดรถ ครั้งละ 2,000 รูเปียห์ (5 บาท)


แล้วก็ไปอีกไกลเลยครับ ชมอ่าวเซ็งกิกิไปเรื่อยเลย มาจอดตรงนี้มีเจ้าจ๋อด้วย 


จุดชมวิวที่นี่จะมองเห็นเกาะ Gili ได้ 2 เกาะจากจาก 3 เกาะครับ คือจะเห็น Gili Air ใกล้กับลอมบ็อกที่สุด และ Gili Meno อยู่ถัดไป ส่วน Gili Tawangan มองไม่เห็นครับ เพราอยู่นอกสุด


ชมเวิ้งอ่าวครับ


ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกับพ่อเลย ถ่ายซะหน่อยละกัน


มองเห็นแค่ Gili Air ครับ วันนี้หมอกเยอะ ปกติจิลเลี่ยนบอกว่าเห็น Gili Meno ด้วย


ชมวิวเสร็จแล้วก็ขับย้อนกลับทางเดิมก่อนถึงโรงแรม แวะวัดฮินดู บาตูโบลอง หรือวัดหินรูครับ 


ป้ายบอกว่า สตรีมีประจำเดือนห้ามเข้าครับ 


เจ๊ ที่ดูแลสถานที่ให้พวกเราเขียนสมุดเยี่ยมและบริจาควัด แล้วก็แจกผ้าเคียนเอวให้เรา เหมือนวัดที่บาหลีเลยครับ 


ผ่านซุ้มประตู เดินลงมากก็เห็นประมาณนี้ครับ 


เห็นมั้ยครับ รู มีแค่นี้แหละครับ ไม่มีไรเลย ข้างบนก็ไม่ให้ขึ้นถ้าไม่ใช่ฮินดู เราเลยลงไปลอดรูแทน


ลอดรูออกมาอีกฟากแล้วครับ 


ด้านซ้ายมือก็เป็นหาดเงียบๆครับ ไม่ค่อยมีผู้คน 


เดินไปดูคนตกปลา


หมึกตัวใหญ่มากครับ ขอพี่แกถ่ายรูปหมึกซะหน่อย 


ใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้วครับ แต่ขี้เกียจรอ กลับดีกว่า 


ก่อนถึงทางออกซุ้มประคูที่เดินเข้ามาเมื่อกี้ 


สวยครับ 


เจ๊กินทุกที่ทุกเวลา ทุกสถานการณ์


รถที่พาเราทัวร์ทั้งวัน


กลับถึงโรงแรม เกือบ 5 โมงเย็น อาบน้ำ หิวข้าว เดินออกมากิน Nasi Goreng Ayam (ข้าวผัดไก่) ร้านปากซอย อร่อยมากครับ 


ปากซอยทางเข้าโรงแรม Ressa Home Stay  ด้านซ้ายในรูปคือร้านขายข้าวผัด นาซีโกเร็ง ครับ


ข้าวผัดหน้าตาธรรมดา แต่ขอบอกว่าอร่อยมาก มันมีกลิ่นเครื่อง กลิ่นพริกแบบกินทุกคำก็หอมขึ้นจมูกทุกคำครับ พูดถึงก็อยากจะกลับไปกินฝีมือลุงกับป้าร้านนี้อีกครับ 

อ่านบทความถัดไป วันที่ 3 รีวิวการเดินทางจากลอมบ็อกสู่ลาบวนบาโจเกาะฟลอเรส รถบัสข้ามเฟอรรี่สู่เกาะซุมบาวา นั่งรถบัสทั้งคืนเพื่อไปต่อรถบัสเล็ก และเฟอรี่อีก 6 ชั่วโมงถึงลาบวนบาโจ

อ่านบทความก่อนหน้า วันที่ 1 เดินทางจากประเทศไทยสู่กัวลาลัมเปอร์ และเดินทางต่อไปยังเกาะลอมบ็อก อินโดนีเซีย ด้วย Air Asia

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น