วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เตรียมการเดินทาง / Itinerary ของทริปนี้ครับ


สวัสดีครับเพื่อนๆ พบกับรีวิวทริปการท่องเที่ยวด้วยตัวเองกับหลวงไข่อีกทริปแล้วนะครับ ทริปนี้เราไปประเทศอินโดนีเซียกันอีกแล้วครับ แต่คราวนี้เราเริ่มทริปด้วยเกาะลอมบ็อกครับ เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ถัดจากเกาะบาหลี ข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามเกาะซุมบาวา ข้ามทะเลอีกรอบไปจนถึงเกาะฟลอเรสที่เมืองลาบวนบาโจ  แล้วบินกลับไปบาหลี เที่ยวบาหลีอีก 3 วันแล้วบินกลับประเทศไทยครับ ที่จริงทริปนี้ผมแพลนว่าต้องไปให้ถึงเกอลิมูตูทะเลสาบสามสีแต่เวลาไม่พอครับ อีกอย่างดูในรีวิวคนอื่นๆแล้วไม่สะดวกเพราะผมพาลุงเสริม(พ่อผมเอง)ไปด้วย แกนั่งหดขาลำบาก เพราะขาใส่เหล็กตอนเกิดอุบัติเหตุเมื่อ 10 กว่าปีก่อน และต้องเข้าห้องน้ำบ่อยเลยตัดไปเลย เหลือแค่โคโมโดแล้วก็กลับไปบาหลีเลยครับ



ทริปนี้เดินทาง 6 คนครับ ถือว่าเป็นจำนวนที่พอดีมากๆ สำหรับการแชร์ค่าเดินทางที่เป็นกลุ่มสำหรับแท็กซี่หรือไปทัวร์ครับ

ก่อนการเดินทางก็ต้องเตรียมตัวเล็กน้อยครับ ซื้อตัวแอร์เอเชียและ Lion Air ให้เรียบร้อย สิ่งที่ขาดไม่ได้คือพาสปอร์ต ที่ต้องมีอายุเหลือเกิน6 เดือนนะครับ อยู่อินโดนีเซียได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศนะครับ

เสื้อผ้าไม่ต้องเอาไปเยอะครับ อากาศคล้ายๆบ้านเรา แต่ก็ควรเอาผ้าโสร่งไปด้วยถ้าไปวัดที่บาหลีเช่นที่เบซากี (แต่ทริปนี้ผมไม้ได้ไป เกลียดไกด์ผีทะเลที่นั่นครับ เบซากีเลยโดนผมตัดออกไปเลย เข็ดหลาบกับไกด์เถื่อนเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่ผมไปชมมาแต่ไม่ได้เอามาเขียนบล็อกครับ ตอนนั้นยังเขียนบล็อกไม่เป็น อิๆ )

ผ้าปิดจมูก ควรเอาไปอย่างยิ่งสำหรับคนที่แพ้พวกควันบุหรี่ พี่อินโดเล่นสูบบุหรี่ไปซะทุกที่ แม้แต่บนรถบัสติดแอร์ เดี๋ยวจะเล่าให้อ่านตอนเดินทางข้ามจากลอมบ็อกไปซุมบาวานะครับ

ยาดม หรือ ยาแก้เมารถเมาเรือ ถ้าใครเมารถเตรียมไปเลยครับ เกาะซุมบาวา ถนนยิ่งกว่าไปอุมผางบ้านเราอีกครับ โค้งไปโค้งมาทั้งคืน บางโค้งแทบจะเป็นวงกลม 360 องศาเลยครับ และเรือระหว่างเกาะซุมบาวากับฟลอเรสก็ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงเลยครับ แต่วันที่ผมไปไม่มีคลื่นครับ ทะเลนิ่ง เงียบมากครับ

เงินไทยสามารถใช้ ซื้อของ shopping ได้ที่วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ Tirta Empul ที่บาหลีครับ ของราคา 50 บาท 100 บาท แม่ค้าบอกราคานี้หมดทุกร้านเลยครับ ของเยอะมากๆ ตื่นตาตื่นใจกับของสุดๆ

การแลกเงิน แนะนำให้แลกจากประเทศไทยไปก่อน ผมฝากเพื่อนแลกให้ที่ซุปเปอร์ริชที่ตรงข้ามเซ้นทรัลเวิร์ลด์ครับ เรท 1 บาท = 366 รูเปียห์อินโดนีเซียครับ (ค่าเงินอินโดต่ำลงมากครับ แต่ดีกับเราเพราะเราแลกได้ตังค์เยอะขึ้น เมื่อก่อนประมาณ 7 ปีที่แล้ว 1 บาท ได้แค่ 250 รูเปียห์เองครับ) ถ้าคิดจะไปแลกที่ลอมบ็อก กับลาบวนบาโจ ขอบอกว่าไม่มีที่แลกครับ (น่าจะแลกได้ที่สนามบินแต่ตอนเราไปถึงมัน 1 ทุ่มกว่าเขาปิดไปแล้ว) แต่เราก็กดเอทีเอ็มที่ลอมบ็อกและลาบวนบาโจได้ครับ ถอนเอทีเอ็มได้มากสุด 1,250.000 รูเปียห์ ออกมาธนบัตรไปละ 50,000 = 25 ใบ แต่เราจะโดนหักค่ากดครั้งละ 100 บาทครับ อันนี้ที่รู้เพราะกลับมาดูในบัญชีทางอินเตอร์เน็ทย้อนหลังครับ) เรทกดเอทีเอ็มอยู่ที่ประมาณ 1 บาท ประมาณ 380 - 382 รูเปียห์ครับ ซึ่งถือว่าดีกว่าอัตรแลก แต่ก็ต้องยอมรับการโดนชาร์ตค่ากดครั้งละ 100 บาทด้วยครับ แต่ที่บาหลีมีร้านหนึ่งทรี่แลกเงินไทยได้เรทดีที่สุด 1 บาท =  380 รูเปียห์ครับ

Itinerary ของทริปนี้ที่ผมแก้แล้ว ตามที่ได้ไปมาจริงๆตามรายละเอียดด้านล่างนี้นะครับ 

Itinerary Lombok - Komdo Island – Bali Trip

Tuesday 19th May 2015 เดินทางจากสนามบินกระบี่ สู่กัวลาลัมเปอร์ (KLIA2) ประเทศมาเลเซียด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน AK867 07:55 – 10:15 (ถึงกัวลาลัมเปอร์แล้วปรับนาฬิกาให้เวลาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงด้วยนะ) ผ่านตม. กัวลาลัมเปอร์ แล้วรอต่อเครื่องไปยังเกาะลอมบอก (Lombok) ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเที่ยวบิน AK306 15:35 – 18:45 ถึงสนามบินลอมบ็อก(เป็นสนามบินใหม่อยู่ที่ Praya เมื่อก่อนสนามบินลอมบอกอยู่ที่ Mataram) แล้วหาแท็กซี่เข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คืนนี้พักที่ Ressa Homestay ตั้งอยู่ที่หาดเซ็งกิกิ (Senggigi Beach) เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของลอมบอก อยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เดินหาของกินแถวๆโรงแรมแล้วนอนเลย

Wednesday 20th May 2015 ตื่นเช้ามาก็จะมีอาหารเช้ารอเสิร์ฟอยู่ น่าจะเป็นโรตี แบบอินโดนีเซีย ขนมปัง ทานรองท้อง ใช้บริการทัวร์ของโรงแรม ออกไปชมความงามของหาดเซ็งกิกิ เดินทางไปมาตามราม เมืองหลักของเกาะลอมบอก เพื่อไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามเกาะซุมบาวาไปเกาะฟลอเรส สถานีขนส่งบนเกาะลอมบอกที่มาตาราม ชื่อว่า Mandalika Bus Station อยู่แถว Bertais รถบัสเป็นของบริษัท Langsung Indah หาอาหารเที่ยงแบบท้องถิ่นด้วยบะหมี่ Bakso แบบอินโดนีเซีย เที่ยวไปเรื่อยๆอาจไปถึงหาด กูตา ซึ่งอยู่ด้านใต้ของเกาะลอมบ็อกไปหาหาด มาวุน (Mawun )ที่หน้าตาคล้ายๆกับอ่าวมาหยาที่เกาะพีพีของบ้านเรา แต่ที่นี่ไม่มีคนมาเที่ยวพลุกพล่าน หาดเซอลองบลานัก ที่สวยงามเงียบสงบไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน ตอนเย็นต้องกลับให้ทันดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Pura Batu Bolong เป็นวัดฮินดู มีหินเป็นช่องโหว่ Pura Batu Bolong (Pura = วัด Batu = หิน Bolong = รู ) คืนนี้ยังพีกที่ Ressa Homestay อีก 1 คืน หาของกินแถวโรงแรม

Thursday 21st May 2015 รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม พักผ่อนตามอัธยาศัย เดินเล่นตามชายหาด เช็คเอ๊าท์ตอนเที่ยง ให้รถโรงแรมไปส่งที่ท่ารถ Mandalika Bus Terminal ที่ Bertais เวลาที่รถบัสจะออกจากสถานีคือ 14:30 น. ค่าตั๋ว จนถึง Sape เมืองด้านตะวันออกสุดของเกาะซุมบาวาคือ 200,000 รูเปียห์ต่อคน (ที่ท่ารถจะมีคนมาหลอกขายยามาลาเรีย อย่าเชื่อเพราะมาลาเรียไม่ได้ระบาดจริงๆที่ลาบวนบาโจ) รถอาจจะออกเลทประมาณ 15:30 น. มุ่งหน้าไปสู่เมืองด้านตะวันออกของเกาะลอมบอกชื่อ Labuhan Lombok รถบัสที่เรานั่งมาจะขึ้นเรือเฟอรี่ที่นี่ ท่าเรือชื่อ Kayangan เพื่อข้ามไปเกาะซุมบาวา ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการข้ามเกาะ (อากาศเย็น เตรียมเสื้อหนาวไปด้วย) บนเรือมีของขาย และมีคนเอาสินค้าทั่วไปมาขายด้วย ถืงเกาะซุมบาวาแล้วรถบัสก็มุ่งหน้าทางตะวันออกต่อไปเรื่อยๆของเกาะซุมบาวา คืนนี้จะนอนในรถบัสจนเช้า

Friday 22nd May 2015 เส้นทางบนเกาะซุมบาวาจะขึ้นเขาลงเขาเป็นทางคดโค้ง บางแห่งเกือบเป็นวงกลม รถแวะให้ทานอาหารแบบบ้านๆด้วยตอนค่ำประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง  นั่งรถบัสมาจนเช้าตรู่ประมาณ ตี 5 รถบัสจะมาถึงเมือง Bima อากาศเย็น (ใช้เวลา 14 ชั่วโมงจากลอมบ็อก) แต่ยังไม่สุดทาง ต้องต่อรถมินิบัสที่นี่จากรถบัสใหญ่เป็นคันเล็ก (รอรถ 1 ชั่วโมง รถออกเวลา 6:00 น.) แต่เป็นของบริษัทเดียวกัน Langsung Indah นั่งรถมินิบัสจากเมือง Bima ไปยังเมือง Sape อีก 2 ชั่วโมงก็ถึงท่าเรือเวลา 8:00 น. จะมีเรือไป Labuan Bajo รอบ 10 โมง มีเที่ยวเดียวต่อวัน (เฉพาะวันเสาร์จะออก 16:00 น. ) ค่าเรือ 40,000 รูเปียห์ต่อคน ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง ผ่านทัศนียภาพอันอันแปลกตาและสวยงามของภูเขาไฟ และน้อยใหญ่ในหมู่เกาะโคโมโด ถึง Labuan Bajo เมืองด้านตะวันตกสุดของเกาะฟลอเรส เวลา 16:00 น. เข้าพักที่โรงแรม Green Hill Boutique Hotel โรงแรมใหม่สวย มองเห็นวิวอ่าวลาบวนบาโจชัดเจน พักผ่อนตามอัธยาศัย ตอนค่ำออกไปหาข้าวกิน และหาบริษัททัวร์ที่จะเหมาเรือไปชมมังกรโคโมโด (กลางคืนเตรียมหาอาหารไว้เป็นเสบียงในทริปโคโมโดด้วย)

Saturday 23rd May 2015 รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ได้เวลาออกล่าโคโมโดแล้วครับ ทัวร์ออกประมาณ 6:30 น. ลมค่อนข้างเย็น วิวสวยแปลกตา เกาะข้างบนแห้งแล้งข้างล่างมีต้นไม้ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงถึงเกาะโคโมโด (Komodo Island) ถึงที่ทำการอุทยาน ที่ท่าเรือ Loh Lieng เรือจะปล่อยเราลงที่นี่แล้วให้เดินเข้าไป 100 เมตรจะเจอที่ทำการอุทยาน จ่ายค่าเข้าอุทยาน 206,000 รูเปียห์ ประมาณ 700 บาท (บัตรใช้ได้สามวัน) ถ้าเดิน 5 กิโล ต้องจ่ายเพิ่มอีก 50,000 รูปเปียห์ต่อคน เตรียมเสื้อกันแดดด้วย แดดแรงมากๆ แล้วก็ออกตะลุยล่าโคโมโดกันได้เลย ไปพร้อมเจ้าหน้าที่ ห้ามเดินเองเด็ดขาด ตอนบ่ายเรือจะพาไปสน็อกที่สวยมากๆชื่อ Pulau Selong ตอนเย็นกลับโรงแรม หาข้าวกิน พักผ่อนตามอัธยาศัย คืนนี้ก็ยังพักที่ Green Hill Boutique Hotel


Sunday 24th May 2015 วันนี้ฟรีสไตล์ เที่ยวถ้ำ Batu Cermin เป็นถ้ำสวยงาม ค่าเข้าชม 10,000 รูเปียห์ค่อคน ตอนค่ำยังนอนที่เดิมคือ Green Hill Boutique Hotel

Monday 25th May 2015 วันนี้จะเดินทางกลับบาหลีด้วยสายการบินไลอ้อนแอร์ (ใช้เครื่องวิงแอร์) ด้วยเที่ยวบิน IW1831 8:30 – 9:50 Labuan Bajo – Denpasar Bali ถึงสนามบินแล้วก็ต่อแท็กซี่ไปยังที่พักที่อูบุด โรงแรม Teba House Ubud Guest House ตอนบ่ายพักผ่อนตามอัทยาศัย ตอนเย็นเดินแวะชมร้านค้าสินค้าพื้นเมืองแถวโรงแรมที่พัก ตอนค่ำกลับมาดูการแสดงการร่ายรำเลก็องบาหลี

Tuesday 26th May 2015 เช่ารถพร้อมคนขับจากโรงแรม Teba House Ubud Guest House หรือเช่ามอไซค์ ชมเกาะบาหลี เช่นKintamani จุดชมวิวภูเขาไฟ หาอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟต์รับประทาน, วัดที่มีชาวฮินดูมาอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์  กลับมาตอนค่ำชมการแสดงพื้นเมืองบาหลี อาจจะเป็น “กะจัก” พักที่ Teba House Ubud Guest House อีก 1 คืน

Wednesday 27th May 2015 ตื่นมารับประทานอาหารเช้า เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม Teba House Ubud Guest House เช่ารถพร้อมคนขับให้พาไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆที่ เหลือ ได้แก่ Ulun Danau Bratan เป็นวัดที่อยู่กลางทะเลสาบบราตันอันสวยงาม  /  Pura Tanah Lot เลือกซื้อของฝากตามใจชอบ ตามด้วย Pura Uluwatu วัดบนหน้าผาสูงชันด้านใต้สุดของบาหลี เดินทางกลับสนามบินงูระไร ที่เด็นปาซาร์ เพื่อขึ้นเครื่องไปกัวลาลัมเปอร์ เที่ยวบินแอร์เอเชีย AK371 21:20 – 00:20 Denpasar – Kulalumpur ถึงกัวลาลัมเปอร์ (KLIA2) ผ่านตม. หามุมสงบนอนในสนามบิน (ในสนามบินตอนกลางคืนแอร์เย็นมาก เตรียมเสื้อหนาวด้วย)

Thursday 28th May 2015 ตื่นมาล้างหน้าล้างตาที่สนามบิน หาอาหารเช้ารับประทานที่สนามบิน แนะนำ Nasi Lemak (อาการพื้นบ้านแบบมาเลย์ ข้าวใส่เครื่องแกง มีเนื้อวัว หรือเนื้อไก่ให้เลือก ใส่ปลากรอบ ใส่ถั่ว) รอเที่ยวบินกลับประเทศไทย กัวลาลัมเปอร์ – สุราษฎร์ธานี AK838 10:35 – 11:05 (ถึงไทยแล้วก็ปรับนาฬิกาให้ช้ากว่าเดิม 1 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาท้องถิ่นในไทย) ผ่านตม. เดินทางกลับเกาะสมุยโดยสวัสดิภาพ




วันที่ 1 เดินทางจากประเทศไทยสู่กัวลาลัมเปอร์ และเดินทางต่อไปยังเกาะลอมบ็อก อินโดนีเซีย ด้วย Air Asia

Tuesday 19th May 2015 เป็นวันแรกของการเดินทางนะครับ ผมเดินทางจากสนามบินกระบี่ สู่กัวลาลัมเปอร์ (KLIA2) ประเทศมาเลเซียด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน AK867 07:55 – 10:15 (ถึงกัวลาลัมเปอร์แล้วปรับนาฬิกาให้เวลาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงด้วยนะ) ผ่านตม. กัวลาลัมเปอร์ เข้ามารอเพื่อขึ้นเครื่องต่อไปลอมบ็อกครับ


ภาพแรกที่เห็นสนามบิน KLIA2 มันช่างอลังวังเวอร์มากๆครับ แตกต่างจากสนามบิน LCCT เก่าอย่างสิ้นเชิงครับ แอร์เอเชียเปลี่ยนมาเป็นสนามบินแห่งนี้น่าจะซักสองปีแล้วเก็นจะได้ เพราะผมไม่ได้แวะเวียนมาเลยสองปีแล้ว คราวนี้ได้มาเห็นซะที สนามบินใหญ่มาก เดินกันเหนื่อยเลยกว่าจะมาถึงจุดผ่าน ตม. ผ่านมาถึงตรงนี้ก็เข้าไปที่ Departure เลยครับ ขึ้นมาชั้นบน เจอป้ายใหญ่ บอกไฟลท์ขาออกตามตารางเวลาเรื่อยๆครับ 


ใกล้ๆกันก็มีร้านอาหารทั้งสองฝั่งครับ แต่จากการเดินสำรวจ ร้านอาหารชั้นที่อยู่ระหว่างชั้นนี้กับชั้นล่างจะถูกกว่าชั้นบนนี้เยอะครับ 


ถึงเวลาก็รอต่อเครื่องด้วยเที่ยวบิน AK306 15:35 – 18:45 ถึงสนามบินลอมบ็อก ใชช้เวลา 3 ชั่วโมงกับ 10 นาทีครับ ไม่ต้องปรับนาฬิกาแล้วเพราะเป็นเวลาเดียวกับกัวลาลัมเปอร์ (ประเทศอินโดนีเซีย เกาะสุมาตรา และเกาะชวา ใช้เขตเวลาเดียวกับประเทศไทย ส่วนเกาะบาหลี ลอมบอก ฟลอเรส บอร์เนียว สุลาเวสี และเกาะต่างๆไปทางตะวันออกจะใช้เวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงเหมือนมาเลเซียและสิงคโปร์ครับ)  ถึงสนามบินลอมบ็อกแล้ว ให้ความรู้สึกผิดคาดมากครับ ตอนแรกคิดว่าสนามบินน่าจะเล็กๆ บ้านๆ ที่ไหนได้ ก็ดูใหญ่เหมือนกันครับ สนามบินที่เกาะลอมบ็อกนี้เป็นสนามบินใหม่อยู่ที่ Praya เมื่อก่อนสนามบินลอมบอกอยู่ที่ Mataram ครับ


เดินมาเข้าคิวผ่านด่านตม.ครับ ขอบอกว่ามีแค่แถวเดียวยาวเป็นกิโลครับ แอบถ่ายนิดหนึ่ง พร้อมกับเสียง จนท.เอ็ด ว่าห้ามถ่ายรูป ก็ต้อง Say Sorry ไปตามระเบียบครับ แต่ได้มา 1 รูปแบบเหมือนไม่ได้ตั้งใจถ่าย 555 เข้าแถวไปได้สักพัก การตรวจคนเข้าเมืองก็ต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ต้องเข้าแถวรอ คาดว่าระบบคอมพิวเตอร์ล่มครับ กว่าจะเสร็จเล่นเอาเมื่อยตุ้มไปตามๆกัน (ก่อนมาเข้าคิวตม. แนะนำให้เข้าห้องน้ำก่อนครับ เพราะเสียเวลนานมาก มีสมาชิกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ แต่รอนานมาก ถ้าเดินกลับไปก็กลัวเสียคิวเลยยอมทน ผ่านตม.ออกมาได้ก็หายปวดซะแล้ว อิๆ)


ผ่าน ตม. ออกมาแล้ว ตอนแรกว่าจะแลกตังค์ แต่แบงค์ปิดซะแล้วครับ นี่มันยังไม่ 2 ทุ่มเลยนะ ปิดไปแล้ว สงสัยนักท่องเที่ยวมาไม่เยอะ เลยปิดเร็วมาก


มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสเข้าเมืองด้วยครับ ไปมาตาราม คนละ 25,000 รูเปียห์ (คนละ 68 บาท) ไปเซ็งกิกิคนละ 35,000 รูเปียห์ (คนละ 95 บาท) แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น เพราะมันค่ำแล้ว ไปหาแท็กซี่เอาดีกว่า จะได้พาเราไปโรงแรมได้โดยตรงเลย ไม่ต้องไปเดินหาอยู่อีก 


เดินออกมาหน่อยก็เจอตู้เอทีเอ็ม หลายธนาคารเลยครับ กดได้สูงสุดครั้งละ 1,250,000 รูเปียห์ ต่อครั้งครับ (ประมาณ 3289 บาท เพราะเรทกดตู้เอทีเอ็ม 1 บาท ไทย ประมาณ 380 รูเปียห์ แต่การกดในแต่ละครั้งธนาคารจะหักค่ากดเงินต่างประเทศ 100 บาทครับ อันนี้ผมทราบจากการมาเปิดดูบันชีทางอินเตอร์เน็ททีหลัง)


ออกมาเจอพี่คนนี้ครับ ผมตกลงราคากันนานพอสมควร บอกราคาตอนแรก 350,000 รูเปียห์ (956 บาท) แต่ต่อรองกันไปกันมาสักพัก เหลือ 250,000 รูเปียห์ครับ (683 บาท) เฉลี่ย 6 คนก็ตกคนละ 100 บาทนิดๆก็โอเคเลยครับ ราคานี้ ใกล้เคียงกับราคา Damri Bus ที่เป็นรถโดยสารสาธารณะไปเซ็งกิกิเลยครับ) 


บรรยากาศทั่วไปในอาคารขาเข้าสนามบินลอมบ็อก ครับ


ในสนามบินมี KFC ด้วย อ้าวไม่ใช่ นี่มัน  CFC ครบสูตรเลยนะ ปล่อยสาร CFC สู่ชั้นบรรยากาศให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก 5555 (มั่วแระ คนละอย่างกัน)


แอบถ่ายตาลุงโรธไปซื้อไก่ CFC และมันฝรั่งทอดเฟรนช์ไฟร


ด้านหน้าสนามบินลอมบ็อก ถ่ายจากลานจอดรถด้านหน้าครับ


รถคันนี้ครับ เรานั่งกันมา 6 คนกับคนขับรวม 7 คน พอวางกระเป๋ากับคนได้พอดีครับ ก็เลยบอกว่าทริปแบบนี้เดินทาง 6 คนกำลังสวย เรื่องการแชร์ค่าโดยสาร และจำนวนคนที่ใส่ไปในรถได้ 1 คันพอดีแบบไม่ต้องนั่งสองคัน)


ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึงโรงแรม เรสซ่าโฮมสเตย์ที่จองเอาไว้ครับ รู้สึกหิวเลยออกมาหาอะไรกินกันก่อน จากปากซอยทางเข้าโรงแรม เดินเลี้ยวซ้ายออกมา 200 เมตร ก็เจอร้านนี้ครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวหมี่บักโซ อร่อยดี ไม่มีหมูนะครับ ร้านอิสลามครับ 


ติดกับร้านก๋วยเตี๋ยวบักโซ ตาลุงโรธเดินไปช็อป หมดตังค์ตั้งแต่วันแรกด้วยแหวนหัวหินหลากหลายสีหลายวงเลยครับ เขาบอกว่าแร่อะไรแล้วแต่ผมลืมไปแล้ว สวยดี วงละ 200,000 รูเปียห์ต่อรองราคาแล้วนะ (546 บาท) ซื้อที่อื่นแพงกว่า เพราะลอมบ็อกเป็นแหล่งหินสีที่ทำแหวนนี้ครับ เห็นบอกว่าส่งไปขายที่บาหลีด้วย แต่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนครับ แต่คนที่ลอมบ็อกนิยมใส่แหวนแบบนี้กันเยอะมากๆครับ แทบจะทุกคนเลย ใส่แหวนหินสี ผมไม่ได้ซื้อไว้เสียดายเหมือนกัน แต่ถ้าใครมีตังค์ก็ซื้อไว้สักวง สวยดีครับ แฮนด์เมด ถ้าใครไปก้ซื้อเก็บไว้ซักวงก็ดีนะครับ เป็นที่ระทึก


เดินเลยไปอีกหน่อยจากร้านบักโซและร้านลุงขายแหวนก็เจอร้านชำชื่อ J MART ครับ แต่กำลังปิดพอดี


เดินมาอีกนิด ฝั่งตรงข้ามถนน เยื้องๆ J Mart เมื่อกี้เป็นร้าน Indo Mart ครับ น่าจะประมาณ 7-eleven ไม่แน่ใจว่าเปิด 24 ชม. หรือเปล่าแต่ดูจากสภาพการณ์แล้วน่าจะใช่ครับ ซื้อขนมนมเนยก็กลับโรงแรม ไปติดต่อเรื่องทัวร์เกาะลอมบ็อกวันพรุ่งนี้ครับ เจ้าของโรงแรม คิดราคา 700,000 รูเปียห์สำหรับทัวร์เต็มวันครับ (1912 บาท ตกคนละ 318 บาท ถูกมว้าก...... เลยตกลงทันทีครับ) เป็นทัวร์พาไปชมหาดต่างๆที่มีชื่อเสียงของลอมบ็อกครับ แต่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ เหนื่อยมาทั้งวันเดี๋ยวพรุ่งนี้ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆโรงแรมให้ดูครับ

อ่านบทความถัดไป วันที่ 2 เช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวเกาะลอมบ็อกหาดเซอลองบลานัก หาดมาวุน หาดกูตา แวะซื้อตัวรถบัส Langsung Indah เพื่อไปเกาะฟลอเรส

อ่านบทความก่อนหน้า เตรียมการเดินทาง / Itinerary ของทริปนี้ครับ
....................................................................................................................................................

วันที่ 2 เช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวเกาะลอมบ็อกหาดเซอลองบลานัก หาดมาวุน หาดกูตา แวะซื้อตัวรถบัส Langsung Indah เพื่อไปเกาะฟลอเรส

Wednesday 20th May 2015 วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2558 เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางครับ เมื่อคืนมาถึงซะดึกเลย แต่จัดการจองทัวร์เท่ยวเกาะลอมบ็อกกับเจ้าของโรงแรมไว้แล้วครับ ราคา 7แสนรูเปียห์หรือประมาณ 1912 บาท หรือเฉลี่ยคนละ 318 บาทครับ เป็นทัวร์เต็มวันไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มครับ

ให้ดูบรรยากาศตอนเช้าของ Ressa Home Stay ที่เราพักนะครับ เพราะเมื่อคืนมาถึงโรงแรมค่ำแล้วมืดมากไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย ลานเอนกประสงค์ที่บรรดาพนักงานชอบมานั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์กันตอนกลางคืน 


เจ้าของโรงแรมเป็นสาวญี่ปุ่น แต่งงานกับหนุ่มไกด์ลอมบ็อกครับ เธอชื่อคาโอริ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ครับ แอบถ่ายตูด ตอนเธอเตรียมอาหารเช้าให้พวกเราครับ ตอนแรกที่เธอเข้ามาคุยผมเข้าใจว่าเธอคือลูกค้าญี่ปุ่นที่มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ ถามไปถามมากลายเป็นเจ้าของซะงั้น เธอมาถามว่าอาหารเช้า(หนมปังปิ้ง) จะให้ใส่ไข่ดาวข้างในหรือใส่กล้วย และเครื่องดื่มจะเอาชา หรือกาแฟ มีให้เลือกแค่นี้ครับ ไม่ได้อิ่มอะไรเล้ย แต่ก็สมราคาล่ะครับ คืนละ 300 เองค่าห้อง ยังอุตส่าห์รวมอาหารเช้าให้


มีมอไซต์ให้เช่าด้วยครับ แต่พวกเรามากันหลายคน เลยแชร์ทัวร์กันเที่ยวกับรถยนต์ให้เขาขับให้ จะง่ายกว่า แต่ถ้ามาคนสองคน เช่ามอไซต์ขี่ก็น่าจะสนุกครับ ไม่ได้ถามราคามาครับว่าให้เช่าวันละเท่าไหร่ 


ป้ายโรงแรม เล็กมว้ากกก...ต้องส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ 5555+++


สวนขนาดกะทัดรัดหน้าห้องพักพวกเราครับ 


เจ๊คาโอริ เอาอาหารมาเสิร์ฟแล้วสำหรับทุกคน หน้าตาหนมปังปิ้งห่อไข่หรือห่อกล้วยตามในรูปครับ มีชา/กาแฟ + ผลไม้ให้สำหรับทุกคนครับ


ถึงเวลาให้อาหารครับ ก่อน 8 โมงเช้านิดๆ โชว์เฟอร์ที่เป็นพนักงานโรงแรมมาคอยพวกเราอยู่แล้วครับ 


ให้ดูแผนที่เกาะลอมบ็อกชัดๆนะครับ ด้านซ้ายมือในรูป โรงแรมเราอยู่ระหว่าง Senggigi กับ Ampenan ครับ ทริปนี้คนขับจะพาเราเที่ยวลงมาด้านล่างของเกาะ จะพาเราเที่ยวหาดเซอลองบลานัก (Pantai Selong Blanak) หาดมาวุน (Pantai Mawun) หาดกูตาล็อมบ็อกครับ (คนละที่กับกูตาที่บาหลีนะครับ แต่ชื่อกูตาเหมือนกัน) จากหาดกูตา ก็จะขึ้นด้านบนไปหาชุมชนของเผ่า Sasak ที่ Sade (อ่านว่า ซาเด้อ) ที่มีการทอผ้าขายเป็นหมู่บ้าน (อยู่ตรงกลางระหว่ากูตากับ Sengkol ในแผนที่ครับ) แล้วก็ย้อนกลับมาทางสนามบินที่อยู่แถว Praya เพื่อหาข้าวกินกันครับ แล้วก็ไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามไปเกาะซุมบาวา ที่ Mataram เพื่อจะเดินทางพรุ่งนี้ แล้วก็กลับเข้าเซ็งกิกิเหมือนเดิม ไปเที่ยววัดฮินดูชื่อ บาตูโบล็อง Pura Batu Bolong (วัดหินรู) แล้วก็กลับโรงแรม 


นั่งรถกันมาเกือบชั่วโมงก็ถึงหาดเซอลองบลานัคอันเงียบสงบ ผมชอบบรรยากศที่นี่มากครับ ไม่มีรีสอร์ท มีแต่ร้านค้าปลูกเป็นเพิงตามแนวหาด ด้านในสุดเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆครับ แต่ที่นี่ไม่มีห้องน้ำครับขอบอก มีส้วมหลุมที่เต็มไปด้วยกับระเบิดอยู่แถวทางเข้า พวกเราต้องจ่ายค่าเข้าด้วยครับ แต่ว่าเก็บเฉพาะรถแบบเหมาคันนะครับ หาดนี้โดนเก็บไป 10,000 รูเปียห์ครับ 27 บาท 


มีร่มชายหาดให้เช่าด้วยครับ ถ้าไปนั่งเขาคิดตังค์ แต่พวกเราซื้อมะพร้าวมากินคนละลูก ลูกละ 10,000 รูเปียห์เหมือนกัน (27 บาท) ก็เลยนั่งเก้าอี้ชายหาดได้ไม่เสียตังค์เพิ่ม 


หาดเซอล็องบลานัคแห่งนี้ฝรั่งชอบมาหัดเล่นกระดานโต้คลื่นครับ แต่ขอบอกว่าคนมาเที่ยวน้อยมาก ซึ่งถือได้ว่ายังบริสุทธิ์มากๆครับ ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่โดนรีสอร์ท โรงแรมต่างๆ มาจับจองพื้นที่เหมือนหาดบางประเทศ อิๆ 


คุณลุงขายข้าวโพดย่างครับ


ร้านขายของชำที่เราไปนั่งครับ มีทุกอย่างให้เลือกสรร ได้ข่าวว่ากาแฟอร่อยครับลุงเสริม(พ่อผม) การันตี


นี่แหละครับโฉมหน้าลุงเสริม พ่อผมเอง ทำความรู้จักไว้ครับ เพราะจะเจอลุงเสริมอีหลายรูปในบล็อกนี้และอีกหลายๆบล็อกครับ 5555


ยืมกระดานโต้คลื่นเขามาถ่ายรูปครับ 


ท่าอะไรครับเนี่ย?   บูตะเหิรเวหา?  /   ดูก็องเริงร่า? /  ผีเสื้อ(สมุทร)สะดุดเวหาบ้าพลัง ? 


ลุงเจ้าของร้านปาดหัวมะพร้าวให้ หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ แต่ๆๆ มะพร้าวลูกใหญ่มากกกกก.... กินเกือบไม่หมด พุงกางเลย ว่าจะกินเนื้อมะพร้าวด้วย แต่มันแข็งไปหน่อย เลยกินแต่น้ำ อร่อยดีครับ มะพร้าวลอมบ็อก ลูกใหญ่กว่ามะพร้าวบ้านเราเยอะเลยครับ 


เจ๊เมียลุงเจ้าของร้านชำ กำลังขูดมะพร้าว สังเกตดูอุปกรณ์การขูดมะพร้าวนะครับ ถูไปถูมาบนตะแกรงเหล็ก อุปกรณ์บ้านเราชนะขาดลอยในเรื่องความเร็วถ้าใช้กระต่ายขูดมะพร้าว (ภาษาใต้เรียกเหล็กขูด) เพราะเจ๊แกต้องแงะเนื้อมะพร้าวออกมาอีกทีจากกะลาแล้วเอามาขูดกับตะแกรงเหล็ก บ้านเราขูดเลย


ตื่มด่ำกับหาดเซอล็องบลานัคเรียบร้อยแล้วก็เที่ยวหาดถัดไปครับคือหาดมาวุน หาดนี้เล็กกว่าหาดเซอล็องบลานัคครับ แต่เป็นเวิ้งเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนอ่าวมาหยาที่เกาะพีพีเล จ.กระบี่บ้านเรา แต่ที่นี่ไม่มีคนเลยครับ เงียบ สงบมาก..... ที่นี่ก็จ่ายค่าเข้าหาด 10,000 รูเปียห์ต่อ 1 คันรถเหมือนที่แรกครับ


เชิญเซลฟี่ได้ตามใจชอบ


ทำท่าหน้ากากแอ๊คชั่นถล่มก็อซซิลล่า (มั่วแระ) 


แบบไม่มีคนในรูป (ไล่มันออกไปหมดแล้วทั้งหน้ากากแอ๊คชั่น ทั้งก็อซซิลล่า)


ไม่รู้จักครับ เขามาเที่ยวเหือนเรา แต่ทั้งหาดมีคนอยู่แค่นี้แหละครับ 


เฮ้อ ... กระโดดเกือบไม่ขึ้นแน่ะ


ผมชอบรูปนี้ เลยเอามาลงไว้เป็นที่ระทึก เขียนมากี่บล็อกๆก็ไม่ค่อยได้ลงรูปตัวเองเลยสักครั้ง


งั้นผมขอลงอีกรูปละกันครับ อิๆ รูปนี้ผมหล่อดีนะว่ามั้ย อิๆ  (ใครค้าน ห้ามอ่านบทความถัดไป โกรธ :-P)


โฉมหน้าโชเฟอร์ที่พาเราเที่ยว ชื่อน้องจิลเลี่ยน ครับ (เสื้อดำนะ เสื้อฟ้าน่ะลุงเสริม) น้องจิลเลี่ยนคุยดี มีมุขฮาตลอดทาง ครับ เสร็จทริปให้ทิปไป 100,000 รูเปียห์เลย 


หาดต่อไปคือ Kuta Lombok ครับ จากเซอล็องบลานัค มาวุน กูตา ห่างกันไม่เยอะครับ นั่งรถประมาณ 15-20 นาทีในแต่ละหาดครับ ค่าเข้าหาดอีก 10,000 รูเปียห์ครับ (27 บาท)


ความสะอาดของที่นี่ได้คะแนนน้อยที่สุดครับ มีสาหร่ายทะเลมาเกยตื้นเต็มเลย หรือมันจะสวยเป็นช่วงๆก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ 


ที่นี่คนจะเดินมาขายของเยอะมากครับ พวกผ้าห่ม เสื้อสกรีนลายลอมบ็อกครับ จัดการซื้อเลยครับ เพราะเวลาช็อปปิ้งเราไม่พอเลย เสื้อสกรีนลาย 4 ตัว 100,000 รูเปียห์ครับ เฉลี่ยตัวละ 68 บาท น่าจะแพงครับ แต่ก็ไม่รู้จะต่อยังไง เขาบอกมาราคานี้แล้ว 4 ตัวแสน 


ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือผ้าห่มทอที่บรรดาป้าๆมาเดินขายแบบนี้ครับ ผืนละ 50,000 รูเปียห์ (136 บาท) ผมว่าถูกมากกก คุณภาพดีด้วย ผมไดซื้อมาแค่ 2 ผืน เกาะน้องจิลเลี่ยนบอกว่าจะพาไปที่ทอผ้าเลย แต่ผมต้องผิดหวังมากเพราะผ้าแบบที่เดินขายแบบนี้ไม่มีครับ ที่ Sade เขาจะเป็นผ้าถุงซะเป็นส่วนใหญ่ และแพงกว่าคนเดินขายแบบนี้หลายเท่าเลย   แต่ผมชอบผ้าห่มแบบนี้มากกว่า น่าตบกะโหลกน้องจิลเลี่ยนสักป๊าบ ข้อหาทำให้ผมเข้าใจผิด พลาดโอกาสซื้อผ้าฝากที่บ้านอีกหลายคน 


ซุ้มขายน้ำหาดกูตา มีไม่ค่อยเยอะครับ 


หาดกูตา ในวันที่มีหญ้า / สาหร่ายทะเล มาเกยตื้น 


เสร็จแล้วก็เที่ยวกันต่อครับ มาถึงหมู่บ้านซาเด้อ Sasak Village 


ที่นี่ให้ความรู้สึกประมาณ ศูนย์จำหน่ายสินค้าโอท็อป


มีไกด์มาอธิบายเรียบร้อย


ผ้าทอมือที่แต่ละครอบครัวทอขายเป็นซุ้มๆ 


ไกด์พาชมรอบๆหมู่บ้าน ชมข้างในบ้านซาซัก 


เขานับถือศาสนาอิสลามครับ คนซาซัก


ต้องยอมรับว่าหม้อเธอใหญ่มากกกกกก (ปกติที่บ้านเธอก็หุงข้าวกินเองหม้อก็ใหญ่ประมาณนี้ กินคนเดียวด้วยครับ ไม่ได้โม้ จริงๆ ) 


ของที่ระลึกก็วางขายทั่วไป


คุณป้าเชิญชวนให้ดูการทอผ้าฝ้ายครับ เลอค่าจริงๆ


ราคาก็สมควรจะแพงอยู่หรอกครับ คิดเป็นเงินไทยผ้านุ่งผืนละ 1,000 กว่าบาท แต่ถ้าใครชอบก็ซื้อเก็บไว้ได้ครับ ผ้าทอ ฝีมือละเอียด สวยด้วยครับ (แต่ผมอยากกลับไปซื้อผ้าห่มที่กูตาอ่ะ พูดแล้วอยากตบกะโหลกน้องจินเลี่ยนอีกที ฮึ่ม กรอดดดดด)


ไกด์พาเดินเรื่อยๆครับ 


บ้านทุกหลังในหมู่บ้านสร้างติดๆๆๆๆกันแบบนี้เลยครับ 


นั่งคิดคำนวณราคาเป็นเงินไทย ต่อรองเก่งก็ได้ราคาถูกลงมาหน่อย 


นี่แหละครับ ผ้าห่มลายๆที่ต้องการ แต่มาถึงบางอ้อทีหลังว่าที่ผมซื้อน่ะมันผ้าโรงงานไม่ได้ทอมือ มันเลยถูกกว่าที่นี่เยอะครับ เลอค่าครับ เลอค่า 


มาพูดถึงหินสี ที่ไปเจอแหวนในร้านลุงเมื่อคืนที่อยู่ติดกับร้านหมี่บะโซใกล้โรงแรม หินที่เขาหามาได้ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกแร่อะไรแล้วแต่มีหลายสีมากครับ เอามาแช่นั้นแบบนี้ก่อนนำไปสลักเป็นหัวแหวนครับ น้องจินเลี่ยนบอกว่าเป็นที่นิยมกันมากในลอมบ็อกและส่งขายไปทั่วอินโดนีเซียเลยครับประมาณนั้น 


ดูกันชัดๆอีกรูป


ในหมู่บ้านมีมัสยิดด้วยครับ  ทัวร์เสร็จแล้วให้ทิปไกด์ไป 30,000 รูเปียห์


ไปต่อไปอีกคงไม่ไหว เพราะหนมปังเจ๊คาโอริเจ้าของโรงแรมเริ่มหมดพลังงาน บอกน้องจิลเลี่ยนว่า Ramah Makan Tolong  ไปหาร้านข้าวกินเถอะ พลีสสสส ก็ได้มาเจอร้านนี้อยู่ตรงข้ามทางเข้าสนามบินลอมบ็อกที่เราผ่านมาแล้วเมื่อคืนแต่จำอะไรแถวนี้ไม่ได้เลย (ก็มันมืดนี่เมื่อคืน) 


ทุกคนกินเหมือนกันหมดครับ เพราะร้านนี้มีแค่เมนูเดียวเท่านั้น 


มันคือนาซีบาลัปครับ  (Nasi Balap) เป็นข้าวไก่ทอด มีเนื้อไก่ฝอยๆ มีผักมาเสิร์ฟในกระบุงแบบนี้ เปิบมือหรือจะกินกับช้อนก็ได้ แต่คนอินโดนเปิบกับมือหมดเลยครับ มีแต่เราใช้ช้อน ที่จริงจะเปิบก็ได้แต่ขี้เกียจล้างมือ (ในร้านมีอ่างล้างมือให้ด้วยครับ) (ที่จริงก็เคยกินแล้วตอนไปทริปเกาะชวาเมื่อหลายปีก่อน แต่มีผักแบบนี้อร่อยกว่าครับ มีเนื้อไก่ฝอยด้วย) มื้อนี้ทั้งข้าวทั้งน้ำปั่น/ น้ำผลไม้ รวม 7 คน(เลี้ยงน้องจิลเลี่ยนด้วย) หมดไป สองแสนรูเปียห์ครับ (546 บาท เฉลี่ยคนละ 78 บาท ถูกมาก)


ขับมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็เข้าเขต Mataram เมืองหลักของลอมบ็อกครับ ไปตามหาบริษัทรถบัสชื่อ Langsung Indah เพื่อจะเดินทางข้ามเกาะไปซุมบาวาแลฟลอเรสครับ เจอแล้ว บริษัทอยู่นี่เอง ไก้เดินเพิ่นพ่านเลยอ่ะ เป็นอะไรที่แปลกตามาก อิๆ 


ตั๋วครับ หน้าตาแบบนี้ รวมราคารถบัสและเฟอรี่ข้ามเกาะลอมบ็อกไปซุมบาวาไปถึง บีม่า (Bima) และรถเล็กของบริษัทต่อจาก Bima ไปถึงซาเป้  (Sape) ที่เป็นเมืองสุดติ่งด้านตะวันออกสุดของเกาะซุมบาวา  ราคาตั๋วใบเดียวรวม 6 คนครับ คนละ 300,000 รูเปียห์ (คนละ 819 บาท) เวลารถออก 14:30 น. ระบุวันเดินทาง 21 พค. 2015 คือพรุ่งนี้ครับ แต่ต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งชื่อ Mandalika ซึ่งอยู่ใน Mataram เหมือนกันครับ ไม่ใช่ขึ้นที่บริษัทตรงนี้ครับ 


สุ่มไก่ที่ลอมบ็อก เท่มาก


ผ่านมัสยิดใหญ่ในมาตารามครับ 


น้องจิลเลี่ยนขับพาเราเลยทางเข้าโรงแรม แล้วขับเรื่อยไปทาง Sengigi ครับ ดูอ่าวเซ็งกิกิ


หาดที่เซ็งกิกิโซนนี้จะเป็นดินสีดำครับ ดินภูเขาไฟ แต่ด้านใต้ของเกาะที่เราไปเที่ยวมาจะเป็นหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ครับ 


หาดูดีๆ มีคนยืนตกปลาอยู่บนโขดหินด้านล่างด้วย 


นางแบบเราหารู้ไม่ว่ากำลังจะโดน.....คริๆๆๆ


ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ครับ 


จิลเลี่ยนพามาอีกเวิ้งหนึ่งครับ หลังจากเวิ้งอ่าวเมือกี้ แต่จะที่จ่ายค่าจอดรถ ครั้งละ 2,000 รูเปียห์ (5 บาท)


แล้วก็ไปอีกไกลเลยครับ ชมอ่าวเซ็งกิกิไปเรื่อยเลย มาจอดตรงนี้มีเจ้าจ๋อด้วย 


จุดชมวิวที่นี่จะมองเห็นเกาะ Gili ได้ 2 เกาะจากจาก 3 เกาะครับ คือจะเห็น Gili Air ใกล้กับลอมบ็อกที่สุด และ Gili Meno อยู่ถัดไป ส่วน Gili Tawangan มองไม่เห็นครับ เพราอยู่นอกสุด


ชมเวิ้งอ่าวครับ


ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกับพ่อเลย ถ่ายซะหน่อยละกัน


มองเห็นแค่ Gili Air ครับ วันนี้หมอกเยอะ ปกติจิลเลี่ยนบอกว่าเห็น Gili Meno ด้วย


ชมวิวเสร็จแล้วก็ขับย้อนกลับทางเดิมก่อนถึงโรงแรม แวะวัดฮินดู บาตูโบลอง หรือวัดหินรูครับ 


ป้ายบอกว่า สตรีมีประจำเดือนห้ามเข้าครับ 


เจ๊ ที่ดูแลสถานที่ให้พวกเราเขียนสมุดเยี่ยมและบริจาควัด แล้วก็แจกผ้าเคียนเอวให้เรา เหมือนวัดที่บาหลีเลยครับ 


ผ่านซุ้มประตู เดินลงมากก็เห็นประมาณนี้ครับ 


เห็นมั้ยครับ รู มีแค่นี้แหละครับ ไม่มีไรเลย ข้างบนก็ไม่ให้ขึ้นถ้าไม่ใช่ฮินดู เราเลยลงไปลอดรูแทน


ลอดรูออกมาอีกฟากแล้วครับ 


ด้านซ้ายมือก็เป็นหาดเงียบๆครับ ไม่ค่อยมีผู้คน 


เดินไปดูคนตกปลา


หมึกตัวใหญ่มากครับ ขอพี่แกถ่ายรูปหมึกซะหน่อย 


ใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้วครับ แต่ขี้เกียจรอ กลับดีกว่า 


ก่อนถึงทางออกซุ้มประคูที่เดินเข้ามาเมื่อกี้ 


สวยครับ 


เจ๊กินทุกที่ทุกเวลา ทุกสถานการณ์


รถที่พาเราทัวร์ทั้งวัน


กลับถึงโรงแรม เกือบ 5 โมงเย็น อาบน้ำ หิวข้าว เดินออกมากิน Nasi Goreng Ayam (ข้าวผัดไก่) ร้านปากซอย อร่อยมากครับ 


ปากซอยทางเข้าโรงแรม Ressa Home Stay  ด้านซ้ายในรูปคือร้านขายข้าวผัด นาซีโกเร็ง ครับ


ข้าวผัดหน้าตาธรรมดา แต่ขอบอกว่าอร่อยมาก มันมีกลิ่นเครื่อง กลิ่นพริกแบบกินทุกคำก็หอมขึ้นจมูกทุกคำครับ พูดถึงก็อยากจะกลับไปกินฝีมือลุงกับป้าร้านนี้อีกครับ 

อ่านบทความถัดไป วันที่ 3 รีวิวการเดินทางจากลอมบ็อกสู่ลาบวนบาโจเกาะฟลอเรส รถบัสข้ามเฟอรรี่สู่เกาะซุมบาวา นั่งรถบัสทั้งคืนเพื่อไปต่อรถบัสเล็ก และเฟอรี่อีก 6 ชั่วโมงถึงลาบวนบาโจ

อ่านบทความก่อนหน้า วันที่ 1 เดินทางจากประเทศไทยสู่กัวลาลัมเปอร์ และเดินทางต่อไปยังเกาะลอมบ็อก อินโดนีเซีย ด้วย Air Asia